ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราเคยนำเสนอข่าวที่มีวิศวกรชาวญี่ปุ่นออกมาเผยว่า ระบบในรถ Tesla นั้นก้าวล้ำไปไกลกว่า Toyota และ Volkswagen ถึง 6 ปี
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง : วิศวกรญี่ปุ่นชำแหละรถ Tesla พบเทคโนโลยีด้านไฟฟ้า ไปไกลกว่า Toyota ถึง 6 ปี
ล่าสุด Markus Duesmann ซีอีโอของค่าย Audi ที่อยู่ในเครือของ Volkswagen ก็ได้ออกมากล่าวถึงเทคโนโลยีของ Tesla เช่นกัน โดยระบุว่า Audi นั้นกำลังตามหลัง Tesla อยู่ถึง 2 ปีด้วยกัน
Markus Duesmann ซีอีโอ Audi
Audi นั้นเป็นอีกหนึ่งค่ายที่จริงจังกับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หลังจากที่ Tesla ได้เปิดตลาดนี้ขึ้นมา ซึ่งค่ายสี่ห่วงก็ได้ออกซีรีส์รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง e-tron ออกมา มีให้เลือกหลายตัวถังทั้งเอสยูวี คูเป้ 5 ประตู และเวอร์ชั่นซีดานแบบหลังคาลาดในอนาคต
แต่ถึงอย่างนั้น ในกลุ่มลูกค้ารถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า Tesla นั้นทำได้ดีที่สุดในด้านการจัดการพลังงานไฟฟ้าทำให้รถทำระยะทางได้ไกลที่สุด เมื่อเทียบกับรถแบรนด์อื่นๆ ในตลาดปัจจุบัน
หมายถึงว่าถ้าแบตเตอรี่ความจุเท่ากัน รถ Tesla จะใช้ไฟฟ้าในการวิ่งน้อยกว่า ผลคือรถวิ่งได้ไกลกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ตารางเปรียบเทียบว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใดสามารถจัดการพลังงานได้ดีที่สุด พบว่า e-tron อยู่ในลำดับ 12
ซึ่งทาง Markus Duesmann ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของเยอรมนีอย่าง Business Daily ถึงประเด็นดังกล่าวว่า
“ปัจจุบัน Tesla สามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า (รถของ Audi) ได้เพราะรถของพวกเขาถูกออกแบบขึ้นมาโดยมีแบตเตอรี่เป็นศูนย์กลาง”
“Tesla นั้นยังนำหน้าพวกเราอยู่ 2 ปี ในด้านของคอมพิวเตอร์ โครงสร้างของระบบซอฟแวร์ และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติอีกด้วย”
ชิปประมวลผลระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla
Tesla นั้นมีภาพลักษณ์เป็นบริษัทเทคโนโลยีมากกว่าบริษัทรถทั่วไป ซึ่งนี่ก็เป็นการย้ำว่าพวกเขาคือบริษัทที่มีระบบซอฟแวร์บนรถดีที่สุดตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะมีการพัฒนาซอฟแวร์ที่ดี แต่ Tesla ก็ยังมีปัญหากับด้านงานประกอบรถยนต์ ที่ก่อนหน้านี้มีผลสำรวจออกมาว่าพวกเขาคือค่ายรถที่มีคุณภาพการผลิตที่แย่ที่สุดในสหรัฐฯ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง : ผลสำรวจพบ รถ Tesla มีคุณภาพการผลิต “แย่ที่สุด” ในสหรัฐฯ พบ 250 ปัญหาต่อรถ 100 คัน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่มียอดสั่งซื้อรถเข้ามาเกินกว่ากำลังการผลิตที่มีอยู่ ทำให้ต้องเร่งผลิตให้ได้ตามเป้า งานจึงหลุด QC เยอะ
ซึ่งตรงจุดนี้ก็ต้องรอดูว่าเมื่อพวกเขาขยายโรงงานผลิตให้มีเยอะขึ้น จะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่ในอนาคต…
