สิ่งทีคนส่วนใหญ่ยังกังวลกับรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากราคาที่ขายในประเทศไทยแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นความกังวลเรื่องแบตเตอรี่ ทั้งทางทฤษฎีและประสบการณ์ตรงจากผู้ที่เคยใช้รถ Hybrid
เพราะแค่การเปลี่ยนแบตลูกเล็กๆ ในรถ Hybrid ก็ถือว่าเป็นอะไรที่เจ็บแล้ว แล้วรถที่มีแบตนอนเรียงอยู่ใต้พื้นรถทั้งคันมันจะขนาดไหนหากแบตเสื่อม..!?
วันนี้เราจึงจะมานำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเรื่องการเสื่อมของแบตจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกใช้งานจริงกัน เป็นข้อมูลจากช่อง Teslabjorn Thai ช่องของยูทูบเบอร์ชาวไทยสายรถยนต์ไฟฟ้าที่โด่งดังอย่างมาก
(และเราเคยได้สัมภาษณ์ คุณตาม เจ้าของช่องนี้ไว้ด้วย สามารถติดตามได้ที่ : เปิดใจ Bjørn Nyland ยูทูบเบอร์รถไฟฟ้าคนไทย ดังไกลจนฝรั่งยอมรับ (Tesla ยังส่งรถให้ใช้ฟรี!!))
ซึ่งรถที่นำมานำเสนอนั้นคือ Tesla Model S P85 รุ่นแรกสุดจากปี 2013 ที่มีอายุการใช้งานมาแล้ว 7 ปี
มาดูกันว่า Tesla Model S หลังใช้งานไป 7 ปี แบตจะเสื่อมลงเท่าไหร่!?
การทดสอบหาว่าแบตเสื่อมลงเท่าไหร่นั้น ใช้วิธีการนำรถออกวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 90 กม./ชม. อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาว่ารถใช้ไฟฟ้าในการวิ่งเท่าไหร่ต่อกิโลเมตร
และสุดท้ายเมื่อแบตใกล้หมด ก็จะนำไฟฟ้าที่ใช้ในการวิ่งต่อกิโลเมตร มาดูว่ารถสามารถใช้แบตเตอรี่ได้กี่ kWh
และนำมาเทียบกับ 75 kWh ที่เป็นความจุเดิมของแบตเตอรี่รถที่มาจากโรงงาน เพื่อหาว่าแบตเสื่อมลงไปกี่ % จากเมื่อ 7 ปีก่อน
ชาร์จแบตรถแบตเต็ม 100% ก่อนทดสอบ
หลังทดสอบเสร็จ ผลที่ออกมาคือ Tesla Model S P85 คันนี้ใช้แบตไปทั้งหมด 68.6 kWh เมื่อขับไป 426.5 กม. โดยแบตยังเหลือ 4%
หากคำนวนว่าใช้จนหมดเหลือ 0 เท่ากับว่าจะใช้แบตไปทั้งหมดที่เหลืออยู่ซึ่งก็คือ 71.5 kWh และทำระยะทางได้สูงสุด 444 กม.
เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่จากเดิม 75 kWh หมายความว่า แบตเสื่อมลงไปเพียง 5%
อย่างไรก็ตาม คุณตามปิดท้ายว่ารถคันนี้ที่แบตเสื่อมน้อย เป็นผลมาจากการใช้งานของเจ้าของ ที่ไม่ได้ใช้งานรถไปไหนไกล และไปชาร์จแบบฟาสชาร์จที่สถานีชาร์จอยู่บ่อยๆ
เพราะการกลับมาชาร์จไฟบ้าน ถึงแม้จะใช้เวลาชาร์จนานกว่า แต่ก็ยืดอายุแบตได้ดีกว่า ซึ่งถ้าหากคุณใช้งานรถแบบทั่วไป ขับไปทำงานตอนเช้า-เย็นกลับมาชาร์จแบตค้างคืนทิ้งไว้
ไม่ได้ขับ 300-400 กม. ต่อวันและก็เข้าสถานีชาร์จไวบ่อยๆ ก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลงเหมือนกับ Model S คันนี้ นั่นเอง
ที่มา : Teslabjorn Thai